เมนู

อธิบายว่า ธรรม 2 คือ อวิชชา และตัณหา พึงทราบว่าเป็นมูล
แห่งภวจักรนี้นั้นแล. ภวจักรนี้นั้นจึงมี 2 อย่าง คือ อวิชชาเป็นมูลมีเวทนา
เป็นที่สุดเพราะนำมาแต่ส่วนเบื้องต้น ตัณหาเป็นมูลมีชรามรณะเป็นที่สุดเพราะ
สืบต่อในส่วนเบื้องปลาย บรรดาภวจักรทั้ง 2 นั้น ภวจักรแรก ตรัสด้วยอำนาจ
แห่งบุคคลผู้มีทิฏฐิจริต ภวจักรหลัง ตรัสด้วยอำนาจบุคคลผู้มีตัณหาจริต.
เพราะว่า บุคคลทั้งหลายผู้มีทิฏฐิจริต อวิชชาเป็นตัวนำไปสู่สังสาร แต่บุคคล
ผู้มีตัณหาจริต ตัณหาเป็นตัวนำไปสู่สังสาร.
อีกนัยหนึ่ง ภวจักรแรกตรัสไว้เพื่อถอนอุจเฉททิฏฐิ เพราะทรงประกาศ
การไม่ตัดขาดแห่งเหตุทั้งหลายของความเกิดขึ้นแห่งผล ภวจักรที่ 2 ตรัสเพื่อ
ถอนสัสสตทิฏฐิ เพราะทรงประกาศชรามรณะของพวกสัตว์ที่เกิดขึ้น.
อีกนัยหนึ่ง ภวจักรแรกตรัสด้วยอำนาจแห่งสัตว์ผู้เกิดในครรภ์ เพราะ
ทรงแสดงความเป็นไปโดยลำดับ (อายตนะที่เกิด) ภวจักรหลัง ตรัสด้วย
อำนาจแห่งสัตว์ผู้เป็นโอปปาติกะ เพราะทรงแสดงความเกิดขึ้นพร้อมกัน (แห่ง
อายตนะ).

อธิบายกาล 3


อนึ่ง กาลของภวจักรนั้น มี 3 คืออดีต ปัจจุบัน และอนาคต
ในกาลเหล่านั้น ว่าด้วยอำนาจกาลที่มาในพระบาลีโดยสรุป พึงทราบว่ามีองค์
2 คือ อวิชชาและสังขาร เป็นอดีตกาล. องค์ 8 มีวิญญาณเป็นต้น มีภพ
เป็นที่สุด* เป็นปัจจุบันกาล. และองค์ 2 คือ ชาติ และชรามรณะ. เป็นอนา-
คตกาล และพึงทราบอีกว่า
* อรรถกถาว่า ภวาสวานิ. แต่ฉบับ ม. ว่า ภวาวสานานิ